9 พฤติกรรมเหล่านี้ ทำให้ ลูก ไม่รู้จักโต พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม - HotNews

9 พฤติกรรมเหล่านี้ ทำให้ ลูก ไม่รู้จักโต พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

 

พ่อแม่ยุคปัจจุบันที่มี “ลูก” จำนวนน้อย หรือมี “ลูก” คนเดียว มักจะมีการเลี้ยงดูลูก

ด้วยการตามใจ ประคบประหงม หรือชอบสปอยล์ลูกอยู่เสมอ แน่นอนว่า

ย่อมมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะถ้าพ่อแม่ไม่เคยให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองเลย

และหากวันใดวันหนึ่ง ที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว เขาจะใช้ชีวิตในสังคมได้ลำบาก

นั่นหมายความว่า..พ่อแม่ควรหยุดทำ 9 เรื่องนี้กับลูกๆได้แล้ว

1.ซักเสื้อผ้าให้ลูก

เมื่อลูกโตพอที่จะทำงานบ้านได้แล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่ ไม่เคยฝึกหรือให้ลูกได้ทำ

ด้วยตัวเองบ้างเลย และการที่มีคุณแม่ซักเสื้อผ้าให้ลูกอยู่ตลอด อาจทำให้เด็ ก

เคยตัว และเป็นคนไม่มีวินัยในตัวเอง หรือไม่มีความรับผิดชอบทางที่ดี หากเด็ กอยู่ในวัย

ที่พอเรียนรู้ และทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว คุณแม่ก็ควรสอนลูกถึงวิธีการใช้เครื่องซักผ้า

หรือการซักผ้าด้วยมือ เพื่อที่เขาจะได้ฝึกทำมันด้วยตัวเอง

2. ทำการบ้านให้

คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่ชอบทำการบ้านให้ลูกเป็นประจำ ควรเลิกทำแบบนี้ได้แล้วนะ

เพราะสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นี้ มันจะทำให้ลูกไม่ได้ฝึกคิด หรือเรียนรู้อะไรเลย

ถ้าไม่อ ยากให้ลูกเติบโตมาแบบไม่มีความรู้ในสมอง ก็อย่ าทำร้ายลูกทางอ้อมแบบนี้เลยนะ

3. ปลุกลูกไปโรงเรียนในทุกๆเช้า

เชื่อว่ากิจวัตรประจำวันของคุณแม่ที่ต้องทำในทุกเช้าเลย ก็คือการปลุกลูก

เพื่อไปโรงเรียน ซึ่งความจริงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกลูกให้ตั้งนาฬิกาปลุก

และจัดสรรเวลานอนให้เหมาะสม เพื่อให้เขาไจัดการกับตารางชีวิตของตัวเอง

4. ยุ่งกับการเรียน

การเป็นห่วงสนใจในเรื่องเรียน หรือความเป็นอยู่ที่โรงเรียนของลูกไม่ใช่เรื่องผิดหรอก

แต่การที่คุณพ่อคุณแม่ ไปบงการหรือกำหนดเส้นทางการเรียนโดยไม่ให้เขามีสิทธิคิด

หรือตัดสินใจด้วยตัวเอง นั่นอาจจะทำให้ลูกไม่โตเป็นผู้ใหญ่เสี ยที

5. ยอมให้ลูกหยุดเรียน

เพราะเด็ กบางคนอาจมีอาการป่ วยการเมือง เนื่องด้วยสาเหตุหลายๆ อย่ าง

อาจจะเกิดจากวิชาเรียน และการบ้านต่าง ๆ ซึ่ง วิชาเรียนอาจง่ายเกินไป

เลยทำให้เด็ กเกิดความเบื่ อ หรือวิชาเรียนอาจย ากจนเกินไป

ทำให้เด็ กเกิดความกดดัน ว่าตัวเองไม่ฉลาดเท่าเด็ กคนอื่นๆ

สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรทำคือ อย่ าถามลูกว่าทำไมถึงไม่อย ากไปโรงเรียน

เนื่องจากเด็ ก มักจะไม่รู้คำตอบ เมื่อเด็ กไม่รู้ว่าจะตอบอย่ างไร ก็จะเป็นการทำให้เด็ ก

เกิดความรู้สึกเค รี ยดแทน ทั้งนี้ พ่อแม่ควรบอกเด็ กว่าความกลัวไม่ช่วยอะไร

หากแต่ควรเอาชนะความกลัวให้ได้ ควรเปิดใจ ให้กว้างในการรับฟังความรู้สึกของลูก

6. ทำอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันให้

คุณแม่หลายคนอาจเป็นห่วงว่าลูกจะทานอาหารไม่อิ่มและได้รับสารอาหาร

ไม่ครบถ้วน จึงต้องเตรียมอาหารให้ลูก อยู่ทุกวัน ถ้าคุณอย ากให้ลูก

โตเป็นผู้ใหญ่ซะที คุณก็ควรให้เขาทำอาหารทางเองบ้าง ถ้าเขาทำไม่เป็น

คุณแม่ อาจจะต้องสอนลูกก่อนสักหน่อย เดี๋ยวนานไปเขาก็ทำได้เอง

7. เอาของที่ลืมไปให้ที่โรงเรียน

การที่ลูกโทรมาเพื่อบอกให้คุณนำเอาสิ่งของที่ลืมไปส่งที่โรงเรียน

โดยที่คุณก็ทำตามที่ลูกสั่งทุกครั้ง ซึ่งนั่นอาจทำให้ลูกกลายเป็นเด็ กที่ไม่รอบคอบได้

ดังนั้น เมื่อลูกคุณโทรมา เพื่อให้คุณทำแบบนั้นอีก โดยที่ของชิ้นนั้น

ไม่ได้มีความสำคัญ ที่ต้องใช้ในตอนนั้นเลย ก็ควรบอกปัดไป เพื่อให้ลูกรู้จัก

มีความรอบคอบมากขึ้น และตรวจความเรียบร้อยของสิ่งของเครื่องใ ช้

ที่ต้องเอาไปโรงเรียนก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง

8. ไม่ยอมปล่อยให้ครูมาว่ากล่าว ตั กเตื อน หรือตีลูก

ถ้าลูกมาฟ้องคุณว่าถูกครูตีหรือว่ากล่าวตักเตือนที่โรงเรียน

ซึ่งนั่นอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่มีอาการหัวร้อนและพร้อมจะไปเคลียร์กับครูที่โรงเรียน

แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่อย ากบอกว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องใจเย็นๆก่อน

และอาจต้องสอบถามลูก ถึงสาเหตุที่ครูทำเช่นนั้น ซึ่งหากลูกเราทำผิดจริงๆ

และการลงโทษของครูก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ก็ไม่ต้องถึงขั้นไปคุยกับคุณครูเอง

ที่โรงเรียนหรอก ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณครูที่ต้องอบรมสั่งสอนอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่ควรทำ คือให้สอนลูกว่าจะต้องทำตัวอย่ างไร เพื่อไม่ให้โดนครูว่าหรือตีอีก

9. ขีดเส้นชีวิตให้ลูก

การกำหนดกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้ลูกเดินตามทางที่พ่อแม่ปูไว้

ซึ่งนั่นอาจเป็นเรื่องดี ที่จะทำให้ลูกมีวินัย แต่ในทุกๆกฎที่พ่อแม่ตั้งไว้

ก็ควรให้ลูกรับรู้ด้วย พร้อมให้ลูกมีส่วนร่วมในการขีดเส้นชีวิตของตนเอง

และต้องปล่อยให้ลูก ได้ลองเรียนรู้ที่จะทำบางสิ่งด้วยตัวเองบ้าง

เพียงเท่านี้ ความสำเร็จในชีวิตลูกก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

รักคือการ “เกื้อกูล” ไม่ใช่ “ก้าวก่าย”

รักคือการ “มอบให้” ไม่ใช่ “เรียกหา”

รักคือการ “ให้ไป” ไม่ใช่ “ได้มา”

รักที่ไม่ต้องใช้ “เวลา” นั้นคือ” รักแท้จากพ่อแม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น